ข้อความทวิตจาก Johann Hari ได้เขียนไว้ว่า "เราต้องการคนทุกประเภทในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ความหลากหลายของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ สัญชาตญาณ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ เมื่อเราตามหาคนที่แตกต่างจากเรา เขาก็ควรจะเป็นแหล่งที่พักใจของความใคร่รู้และความสุขสมบูรณ์ ซึ่งมันไม่ใช่ตัวลบล้างความบ้าระห่ำอย่างแน่นอน" - ความหลากหลายเป็นสิ่งเดียวที่จะเกิดการวิวัฒนาการขึ้น ซึ่งมันเป็นผลพลอยได้ของธรรมชาติสืบไป - สิ่งที่เรามีปัญหากันอยู่ทุกวันนี้ มิใช่การที่เราไปนั่งบอกว่า เราไม่ชอบปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เป็นคำถามว่าเราจะรับมือกับปัญหานั้นอย่างไรมากกว่า - ทุกสิ่งหล่อหลอมบางสิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิด จิตใจ สติปัญญา รวมถึงภาวะมวลรวมของสังคมที่เราอาศัยอยู่ แน่นอนว่าเราต้องการคนที่เป็นแหล่งพลังงานบวก - ถ้าหากว่าเรามีแหล่งพลังงานที่ดีแล้วไซร้ ทว่า เราไม่ได้จะชี้ชัดไปในจุดที่ดีโดยส่วนเดียว เมื่อคนที่ดีรวมตัวกัน ความสร้างสรรค์จึงบังเกิดขึ้น แล้วสิ่งนี้แหละจะมาเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนสังคม - ความบ้าระห่ำ และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับทุก ๆ หย่อมหญ้าจากจุดที่เล็ก ไปยังจุดที่ใหญ่ขึ้น ไม่ได้จะลบล้างด้วยการที่เรามีกลุ่มคนที่ดีเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่เราพยายามรักษาสิ่งที่ควรรักษาไว้ก็เท่านั้นเอง
หนังสือ Get Out of Your Head: Stopping the Spiral of Toxic Thoughts ของ Jennie Allen - ความคิดในหัวของทุกคนย่อมมีสิ่งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่ถ้าเราศรัทธาในสิ่ง ๆ หนึ่งอย่างแท้จริง เราจะพบว่าเรามีความคิดหลัก ๆ อยู่ไม่กี่อย่าง - สิ่งหนึ่งที่เราต้องต่อสู้ นั่นก็คือความไม่ดีในสิ่งที่เข้ามายังชีวิตเรา พระเจ้าย่อมอยู่ข้างเราเสมอ ถ้าเราตั้งใจที่จะเชื่อมั่นว่าพระเจ้านั้นมีจริง อย่างน้อยเราต้องโอบกอดตัวเองก่อน - คนที่รักศาสนาก็ย่อมมีวิถีทางของเขา และคนที่ไม่รักศาสนาก็ย่อมมีความแตกต่างกันไป ซึ่งเราอยู่บนความหลากหลายของสังคม การยอมรับซึ่งกันและกันจึงจำเป็น - เมื่อเราต้องการหาที่พึ่งทางใจ ความดี ความเชื่อ มันเป็นส่วนขยายของศาสนาอีกทีหนึ่ง ทว่า ยุคสมัยนี้กำลังพบเจอความคิดที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การรับมือกับปัญหาจึงยากมากขึ้น - ทุกคุณสมบัติที่ดี เราจำเป็นต้องพึงมีในตนเอง การปลูกฝังสิ่งที่ดีไม่ว่าจะเป็นการเสียสละ การพอเพียงกับสิ่งที่เรามี มันทำให้เราเปิดโอกาสตัวเองได้รับรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบตัวของเราตามที่มันเป็น
มีคนมาปรึกษาว่า เราเพิ่งรู้ว่าแฟนเก็บแหวนของแฟนเก่าไว้แทบทุกคน (หรือทุกคนก็ไม่รู้) ตั้งแต่คบกันมา เราเจอมาแล้ว 3 วง ล่าสุดเราเจอแหวน 2 วงติดกันสองวันเลย เราถามแฟน แฟนบอกว่าที่เก็บไว้ไม่ได้นึกถึงแล้ว มันนานมาก ๆ แต่แค่เสียดายที่ซื้อมาเฉย ๆ เราก็ถามไปว่ามีเก็บอีกไหม เขาก็บอกว่าไม่รู้ ลืมไปแล้ว เรารู้สึกแย่มาก มันมีคนแบบนี้จริง ๆ เหรอคะ เราควรจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดี ห้ามไม่ให้คิดมากก็ไม่ได้ - ปัญหาเรื่องเก็บของเอาไว้ มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไร ลองคุยกันจริงจังดูว่ามันพอที่จะจัดการกับของเหล่านี้ยังไงได้บ้าง - จริง ๆ แล้วชีวิตคู่มันคือสิ่งที่เราถูกหล่อหลอมมาด้วย อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ถักทอเป็นสายใยอันไกลโพ้น ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนย่อมมีอดีตเป็นเรื่องธรรมดา - ทุกคนก็จะมีแฟนที่เรารักมาก เป็นห่วงมาก ติดใจมาก แต่ละคนจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป แล้วมันไม่สามารถจะระบุได้เลยว่าเขารักคนไหนทั้งหมดของหัวใจเขา - ถ้าเรารักแฟนเราจริง เราจะรู้ว่าบางครั้งคนที่เราอยู่กินกันด้วย กับคนที่เรารักมากที่สุด อาจจะไม่ใช่คน ๆ เดียวกัน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าแฟนเราเขาไม่รักเรา เพียงแต่เขาอาจจะเป็นคนลืมยาก - แต่ละคนแตกต่างและหลากหลายอย่างยิ่ง เราไม่สามารถไปบอกให้ใครคนหนึ่งรักเราอย่างที่เราเป็น โลกเราเหวี่ยงบททดสอบที่ยากมาให้เรา เพื่อให้เราสอบทานตัวเองว่า เรารักตัวเองเป็นไหมมากกว่า
ข้อความทวิตจาก James Clear ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ฉันไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันต้องใช้การย้ำตัวเองกี่ครั้ง ที่จะรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่การฝึกฝนนั่นก็คือ 'ฉันจะทำมันเพียงแค่ครั้งเดียว และสังเกตว่ารู้สึกอย่างไรกับมัน' คุณอาจจะคิดว่า คุณจะล้มเลิกในสิ่งที่คุณทำลงไป แต่ในท้ายที่สุดแล้วฉันก็มักจะทำมันครบทั้งหมดจากสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ เพียงแค่เริ่มต้น ทำบางสิ่งและสังเกตว่าอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง" - เพียงแค่เริ่มต้นทำแค่นั้นเอง ทุกคนล้วนมีครั้งแรกด้วยกันเสมอ และครั้งแรกในทุก ๆ เรื่องราวล้วนมาบ่งบอกว่ามันคือประสบการณ์อันล้ำค่า - ชีวิตคือการกระทำในทุก ๆ วัน มันไม่สามารถหยุดการกระทำได้เลย แต่ว่าทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าเราจะทำมันได้ไหม ให้หยุดและตั้งสติว่า ก็แค่ทำมันเองลองดูได้เลย - การคุยกับตัวเอง และเน้นย้ำในเรื่องราวของเป้าหมาย มันจะเป็นส่วนช่วยให้เรามีความชัดเจนในหมุดหมายที่เราจะไปมากยิ่งขึ้น บางครั้งเราอาจจะทำได้มากกว่าที่เราคาดคิดอีก - ความกลัวว่าเราจะทำไม่ได้ มันอาจจะร้ายแรงมากกว่าการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างเดียวก็ได้ เพราะอย่างน้อยลองทำอะไรบางอย่าง ก็เป็นการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนภาพจำว่า เราทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างไปได้ - เริ่มจากการออกกำลังกาย ลองตั้งเป้าหมายต่อวัน และต่ออาทิตย์ดู มันจะช่วยให้เราสามารถฝึกวินัยได้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงฝึกการนอนหลับและตื่นนอนให้เป็นเวลา กุญแจของชีวิตอยู่ในพฤติกรรมของเราทั้งหมด
หนังสือ Just Work: Get Sh*t Done, Fast & Fair ของ Kim Scott - เมื่อการทำงานเปรียบเสมือนแสงไฟส่องนำทางของชีวิต เราจะทำงานอย่างไรให้มีความสุขท่ามกลางปัญหาต่าง ๆ มากมาย - ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของการแบ่งแยก และมีความหลากหลายอย่างยิ่ง ซึ่งแต่ละคนก็เป็นปัจเจกชนที่นำมาซึ่งการปรารถนาที่ต้องการมีจุดยืนของสังคม - การหันหน้าเข้าหากันและมองถึงการเปลี่ยนแปลง มันจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ทว่า มันอาจจะไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งดีขึ้นโดยทันที ถ้าเราไม่น้อมใจปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่อง - หากเราจำเป็นต้องทำงานเป็นทีม หรือว่าเป็นฝ่ายบุคคลในบริษัทแล้ว หนังสือเล่มนี้จะเป็นส่วนช่วยให้เรามีความเปิดกว้างทางความคิดมากยิ่งขึ้น เหมือนกับว่ามอบหนทางที่น้อยคนจะมองเห็นได้ - ทั้งนี้ หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับบุคคลที่ทำงานกับผู้คนที่มีความหลากหลาย ซึ่งการรับรู้มุมมองที่แตกต่างจะทำให้เรามีโอกาสปรับตัวเข้ากับสถานการณ์แวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น
มีคนมาปรึกษาว่า นิยามคำว่า 'ความรัก' ของคุณคืออะไรคะ - นิยามคำว่ารักของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป แต่สำหรับคน ๆ หนึ่งที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นมาไม่นานมาก ก็ต้องตอบได้ว่าความรักคือสิ่งสวยงาม - ชีวิตที่ปราศจากความรัก ก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ขาดน้ำ มันไม่พร้อมจริง ๆ ที่จะยืนหยัดต่อสู้กับแดดฝน รวมถึงมรสุมที่ผ่านเข้ามายังต้นไม้ได้เลย - ความรักเปรียบเสมือนต้นไม้ มันจำเป็นที่จะต้องดูที่รากแก้วของมัน ถ้าลำต้นตั้งตรงได้แล้วทุกอย่างก็จะค่อย ๆ มั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ สำคัญที่สุดคือเวลาเจอพายุฝน - จุดทดสอบของความรักคือการร่วมทุกข์ มิใช่การร่วมสุขแต่อย่างใด มีหลายคนที่ยังไม่เคยร่วมทุกข์กันมาก จึงยังไม่สามารถจะบอกได้ว่าคู่ชีวิตคนนี้เขาจะอยู่กับเราท่ามกลางปัญหาได้หรือไม่ - ไม่ว่านิยามของความรักจะเป็นแบบไหน ความรักก็จะไม่แปรเปลี่ยนสภาวะไปตามความคิดของบุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่ดี สภาพความเป็นจริงของความรักจึงเป็นของมันอย่างนั้นเสมอมา
ข้อความทวิตจาก Johann Hari ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ถ้าคุณสร้างตัวตนที่เปราะบางในพื้นที่สาธารณะ ผู้คนมากมายจะพยายามตอบตามสิ่งที่คุณสื่อสารออกไป และพวกเขามักจะตามหลังคุณ บางคนก็มักจะถากถางคุณ แต่จงจำไว้ว่า พวกเขาเหล่านั้นที่กำลังแสดงออกมากับคุณ นั่นหมายถึงว่าเขาเหล่านั้นกำลังขาดความสุข และเขากำลังต้องการความรักความเข้าใจอย่างยิ่งก็เป็นได้" - ความรู้สึกที่เปราะบาง อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เราครอบครองมันอยู่ ณ ตอนนี้ก็เป็นได้ แต่กระนั้นเราต้องรับรู้ว่า ไม่ใช่ว่าเราอ่อนแอแล้วทุกคนจะเข้าใจเรา - การที่เราเป็นคนอ่อนแอ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องได้รับการยอมรับจากผู้คนในสังคม และไปบอกว่าทุกคนอย่าทำร้ายเรานะ เพราะเราไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับใครเลย - เมื่อเรารับรู้ว่า ผู้คนพยายามตอบสนองตามสิ่งที่เขาคิด มากกว่าตามสิ่งที่เราเป็น เมื่อนั้นเราจะพบเจอทางออกว่าเราจะไม่พยายามทำจิตใจให้อ่อนแอเกินไป เพราะมันทำให้เรายิ่งดูน่าสงสารมากขึ้น - หลายคนไม่ชอบให้ตัวเองรู้สึกน่าสงสาร มันคล้ายกันกับว่าทุกคนต้องคอยช่วยเหลือเรา หรือว่าคอยพยุงเราขึ้นมาจากหล่มโคลนที่คอยดึงทึ้งเราอยู่ แต่เป็นการที่เราต้องคอยดึงจิตใจขึ้นมาไม่ให้มันจมไปนาน - สังคมนั้นคือค่ามวลรวมของผู้คนในสังคม อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่บุคคลเดียว ก็มีผลต่อเนื่องไปสู่สังคมมวลรวมทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราจำเป็นจะต้องตระหนักรู้ให้จงได้ว่า คนส่วนใหญ่กำลังขาดความสุข
หนังสือ The New Market Wizards: Conversations with America's Top Traders ของ Jack D. Schwager - เป็นหนังสือเล่มที่สองของซีรีส์ Market Wizards ซึ่งแน่นอนว่าอัดแน่นไปด้วยสาระสำคัญของการเทรดสินค้าต่าง ๆ ในตลาดการเงิน - หากว่าการเทรดเป็นสิ่งเดียวที่คนรุ่นใหม่ต้องการ แล้วเราจะเรียนรู้ได้จากประสบการณ์คนรุ่นเก่าได้อย่างไร คำถามที่สำคัญนำมาซึ่งคำตอบที่สำคัญยิ่ง - เหมือนว่าคำถามจะเจาะลึกกว่าเล่มก่อนหน้านี้ แล้วคนที่เขาไปสัมภาษณ์ก็จะเป็นคนที่มาจากหลากหลายตลาดการเงินมากขึ้น รวมไปถึงคนที่เป็นกลุ่มเทรดทุกตลาด - คนที่จะเป็นพ่อมดทางด้านการเงินได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีคุณสมบัติหลัก ๆ นั่นก็คือต้องมีวินัยที่สูง โดยที่อารมณ์ต้องเข้ามาแทรกน้อยที่สุด และใช้สิ่งที่เราวางแผนเอาไว้ - การเรียนรู้ในตลาดการเงิน ไม่มีวันสิ้นสุดลง ทุกวันคือความรู้ใหม่ทั้งหมด เราสามารถสอบทานความคิดของเราได้จากหนังสือเล่มนี้ เพราะอย่างน้อยความรู้ก็จะมาเป็นส่วนช่วยขยายกรอบมากยิ่งขึ้น
มีคนมาปรึกษาว่า ขอความเห็นเกี่ยวกับการอยู่ก่อนแต่งว่าเป็นยังไงบ้างคะ - วัฒนธรรมที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป มันจึงเป็นเหตุผลว่าการอยู่กินกันก่อนแต่ง กับอยู่กินหลังแต่งแล้วอันไหนดีกว่ากัน - ถ้าเราลองปรับเปลี่ยนความคิดว่า ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางครั้งมันมีเหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องเลือกที่จะอยู่กินกันหลังแต่งมากกว่า - หากว่าเราอยากอยู่กับแฟนจริง ๆ เราอาจจะไปต่างจังหวัดหรือว่านอนค้างบ้างบางครั้งบางคราว แบบนี้อาจจะทดสอบการอยู่กินกันก่อนแต่งก็ได้เช่นกัน - ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหน เราก็จะค้นพบว่าความรักไม่สามารถทดสอบได้เลยสักช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเรามากกว่าที่เราต้องการในตอนนี้ - ทั้งนี้ มีผู้คนมากมายเชื่อมั่นว่าการอยู่กินกันก่อนแต่งจะสามารถช่วยให้เรารู้จักคน ๆ นึงได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราก็มีโอกาสรู้จักแฟนเรามากขึ้น แต่เราก็ยังไม่สามารถตอบได้ทั้งหมดอยู่ดี
ข้อความทวิตจาก Johann Hari ได้เขียนข้อความไว้ว่า "เรามักจะเผชิญหน้ากับสาเหตุของโรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวลที่มันมีส่วนต่อชีวภาพ แต่กระนั้นมันก็มักจะไปไกลเกินกว่าชีวิตเราอยู่ดี ซึ่งการที่เราเห็นว่า WHO กำลังสร้างจุดยืน แล้วมันนำไปสู่การเยียวยารักษาร่างกายของมนุษย์ เราจึงจำเป็นต้องตั้งใจฟังพวกเขาเหล่านั้นให้มากเข้าไว้" - เมื่อโลกเรากำลังถูกกลืนกินด้วยโรคทางชีวิภาพ หรือที่เรียกว่าชีวิตของเราทั้งหมด เราจำเป็นจะต้องเงี่ยหูฟังผู้ที่พยายามเปลี่ยนแปลงโลกโรคนี้เอาไว้ - ยารักษาอาจจะสามารถบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราควรทำคือเรียนรู้สิ่งที่โลกนี้เปลี่ยนแปลงไป ไม่เช่นนั้นเราจะไม่เข้าใจสิ่งที่องค์กรกำลังสื่อสาร - บางองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก็ล้วนแต่เป็นองค์กรที่มีส่วนช่วยสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งเราก็จำเป็นจะต้องสังเกตให้ละเอียดถี่ถ้วนว่า สรุปแล้วเราจะได้อะไรจากการเสพสื่อครั้งนี้ - อาการของโรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวลนั้นไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจน บางครั้งเราต้องสังเกตอาการตัวเองอยู่เนือง ๆ เพื่อที่ให้เรารับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเรา - ทั้งนี้ ไม่มีอะไรจะช่วยเหลือเรา ได้เท่ากับตัวของเราเอง เนื่องจากมีผู้คนมากมายอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอบางสิ่งมาช่วยเหลือเรา หรืออาจจะคิดว่าวันหนึ่งทุกอย่างจะดีขึ้นเองตามธรรมชาติ